เหตุผลของการทำประกันชีวิต
“ทำไมต้องทำประกันชีวิต” คำถามที่หลายคนมักจะค่อยถามกันอยู่เสมอว่า ทำไมเราต้องทำประกันที่โอกาสแทบจะไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์เลย และต้องมาค่อยจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ค่อนข้างสูง ที่นอกจากจะเปลืองเงินแล้วยังเสียเวลาอีกด้วย แต่ถ้าหากเรามองในมุมกลับกันดู หากวันใดวันหนึ่งเราเกิดอุบัติเหตุหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือ เสียชีวิตขึ้นมา เราจะมีเงินพอไว้สำหรับลูกหลายหรือคนที่เรารักหรือไม่ คำตอบแบบนี้ อาจทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตกันใหม่ได้เลยทีเดียว โดยเราได้ทำการรวบรวมเหตุที่อาจทำให้เราอยากทำประกันชีวิตขึ้นมาได้เลย
- ป้องกันความเสี่ยงในอนาคต ในวันพรุ่งนี้หรือในอนาคต เราย่อมไม่รู้ได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น หากเกิดอุบัติเหตุหนัก จนต้องเข้าโรงพยาบาล เราจะมีการเตรียมเงินไว้สำหรับจ่ายในยามฉุกเฉินขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาลย่อมไม่ถูกอย่างแน่นอน
- เป็นมรดกให้กับคนใครอบครัว หากใครคิดว่าการทำประกันชีวิตดีไหม เราขอตอบเลยว่า ดีและควรทำครับ เนื่องจากอีกหนึ่งข้อดีของการทำประกันชีวิต ก็คือ หากวันหนึ่งเราเกิดอุบัติเหตุจนต้องเสียชีวิต คนที่คุณรักไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ภรรยา หรือลูกของเรา ย่อมจะได้รับผลประโยชน์ของการทำประกันชีวิต ก็คือ เงินทุนที่เราได้จ่ายให้กับเบี้ยประกันชีวิตและส่วนที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายเพิ่มให้นั้นเอง
- สร้างความคุ้มครองในยามฉุกเฉิน ทุกครั้งที่เราได้จ่ายค่าเบี้ยประกันให้กับบริษัทประกันชีวิต มันจะกลายมาเป็นความคุ้มครองในยามฉุกเฉินได้ด้วย สามารถนำมาสำรองค่ารักษาพยาบาล หรือใช้ในการเบิกค่าสินไหมทดแทนได้ด้วย หรือหากบางคนก็สามารถเก็ยส่วนนีไว้สำหรับผลตอบแทนในระยะยาวก็ได้เช่นกัน
- กรมธรรม์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ หลายคนมักจะมองว่า การทำประกันอาจจะเหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วการทำประกันชีวิตก็สามารถนำมาเพิ่มเครดิตให้กับเราได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่เราต้องขอสินเชื่อเพื่อกู้ยื่นเงินซื้อบ้าน หากเรามีการทำประกันชีวิตไว้ ทางธนาคารก็จะอนุมัติวงเงินให้กับเราได้เร็วขึ้น เพราะเหมือนเรามีบริษัทประกันค่อนเพิ่มเครดิตอยู่นั้นเอง
เห็นไหมครับว่า การทำประกันชีวิตนั้นมีประโยชน์และข้อดีตั้งมากมาย และหากใครที่กำลังมองหาแผนประกันชีวิตเราขอแนะนำ KWI พรีเมียร์ เซฟวิ่ง18/8 แบบประกันชีวิตและออมทรัพย์ระยะกลางที่กำลังดี คุ้มครองไม่สั้นไป และชำระเบี้ยไม่ยาวเกิน! ชำระเบี้ยประกันต่อเนื่องแค่ 8 ปี แต่ได้รับความคุ้มครองนอกเหนือจากการออมอย่างต่อเนื่องสูงถึง 18 ปี พร้อมสิทธิประโยชน์รับเงินคืนอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 ถึงครบกำหนดสัญญารวมสูงสุดถึง 180% พร้อมสิทธิในการลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท